ทฤษฎีหลักสูตร
แนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับการเรียนรู้
การเรียนรู้นั้นเกิดขึ้นได้ทุกแห่งในชีวิตประจำวัน การเรียนรู้อาจเกิดจากการลองผิด
ลองถูกจากการวางเงื่อนไข ซึ่งอาจเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์เดิมกับสิ่งใหม่
ๆ หรือการเรียนรู้แบบก็ตาม
ถือว่าเป็นการเรียนรู้ทั้งสิ้น
หรืออาจเกิดจากความต้องการเป็นแรงผลักดันเพื่อให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น
และเมื่อเกิดความอยากรู้อยากเห็นแล้วก็จะลงมือกระทำการต่าง
ๆการเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งแห่งการปรับตัวให้เข้ากับสังคม สามารถดำรงชีวิตและพัฒนาสังคมให้ดีขึ้น
การเรียนรู้ไม่เพียงพอแต่เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นภายในโรงเรียนเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นได้ในสภาพแวดล้อมทั่วไป การเรียนรู้ของนักเรียนจะเริ่มจากสภาพแวดล้อมทางบ้าน และขยายกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขาได้ก้าวสู่โรงเรียน ซึ่งเป็นแหล่งให้ความรู้อย่างเป็นระบบ รวมทั้งความรู้ในวิชาชีพที่จะนำไป
ประกอบอาชีพได้
ความหมายของการเรียนรู้
มีนักศึกษาได้ให้คำจำกัดความของคำว่า
“การเรียนรู้” เอาไว้มากมาย
ซึ่งพอสรุปได้ว่า
นักศึกษาต่างก็เห็นว่า การเรียนรู้นั้นเป็นกระบวนการหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคล
Klein (1987 : 102) ได้ให้คำจำกัดความของการเรียนรู้ คือ
การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ถาวรอย่างได้สัดส่วน ในความสามารถแสดงพฤติกรรม
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในฐานะผลของประสบการณ์ที่ได้รับความสำเร็จหรือไม่ได้รับความสำเร็จ
Good (อ้างใน
สุรพันธ์ ตันศรีวงษ์. 2538 : 41) กล่าวว่า การเรียนรู้ คือการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรม
หรือการเปลี่ยนแปลงในทางตอบสนอง
Hilgard and Bower กล่าวว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอันเป็นผลจากการฝึกฝนและประสบการณ์
แต่มิใช่ผลจากการตอบสนองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น
สัญชาตญาณ หรือ วุฒิภาวะ
หรือจากการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวของร่างกาย
เช่น ความเมื่อยล้า พิษของยา
เป็นต้น
อาจสรุปได้ว่าการเรียนรู้เป็นกระบวนการหนึ่งที่จัดขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคล
ที่อาจมีผลสืบเนื่องจากประสบการณ์
หรือการฝึกฝน โดยมีเป้าหมาย คือวัตถุประสงค์ ตอบสนองความต้องการ หรือแก้ปัญหาก็ตาม การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ใน 3
ด้าน คือ ความรู้
ทักษะ และความรู้สึกที่เป็นผลจากสิ่งเร้า สิ่งแวดล้อม
ครู สื่อ อุปกรณ์การสอน
ครอบครัว สังคม กระบวนการจัดการเรียนการสอน แรงจูงใจ
และมีการตอบสนองจากนักเรียน
ทำให้นักเรียนมีความสนใจใฝ่รู้เข้ามามีส่วนร่วมหลายๆ ครั้ง จนมีพัฒนาการเป็นนิสัยหรือพฤติกรรม ในที่สุดแล้วจึงสามารถกล่าวได้ว่าการเรียนรู้เกิดสัมฤทธิ์ผลโดยสมบูรณ์
องค์ประกอบของการเรียนรู้
Gagne (อ้างใน
กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์ .
2524:132) กล่าวว่า องค์ประกอบสำคัญที่ทำ
ให้เกิดการเรียนรู้ประกอบด้วย 3
องค์ประกอบ คือ
1. ผู้เรียน (The Learner)
2. สิ่งเร้า (Stimulus
) หรือสถานการณ์ต่าง ๆ
โดยสิ่งเร้าหมายถึงสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวผู้เรียนหรือสถานการณ์ต่าง ๆ
หมายถึงสถานการณ์หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวผู้เรียน
3. การตอบสนอง (Response)เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับสิ่งเร้าแต่ในขณะที่ เชียรศรี
วิวิธสิริ (2527: 23-24) กล่าวว่า
สิ่งที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ง่าย ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 3
ประการ คือ
1.
ตัวผู้เรียนต้องมีความพร้อม
มีความต้องการที่จะเรียน
มีประสบการณ์มาบ้างแล้ว และมีทัศนคติที่ดีต่อสิ่งที่จะเรียน
2.
ตัวครูจะต้องมีบุคลิกภาพดี
มีความรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอนเป็นอย่างดี
มีวิธีการเทคนิคที่จะถ่ายทอดความรู้ไปสู่ผู้เรียนได้หลายวิธี
และแต่ละวิธีที่ใช้จะต้องเหมาะสมกับแต่ละเนื้อหาวิชา และต้องรู้จักการใช้สื่อการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาที่จะสอน เพื่อผู้เรียนจะได้เข้าใจง่าย
3. สิ่งแวดล้อม ต้องมีบรรยากาศในชั้นเรียนดี มีมนุษย์สัมพันธ์อันดีระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน มีสถานที่เรียน ตลอดจนอุปกรณ์
เช่น ม้านั่ง โต๊ะเรียนที่อำนวยความสะดวก และเหมาะสม
สถานที่เรียนต้องมีบรรยากาศถ่านเทดี
อยู่ห่างไกลจากสิ่งรบกวน
และแหล่งเสื่อมโทรมต่าง ๆ ทางไปมาสะดวก
สอดคล้องกับ ปราณี
รามสูต (2528: 79-82) กล่าวว่า
องค์ประกอบที่ส่งเสริมการเรียนรู้นั้นแบ่งออกเป็น 4 องค์ประกอบ คือ
1.
องค์ประกอบที่เกี่ยวกับผู้เรียน
ได้แก่ วุฒิภาวะ และความพร้อม ในการเรียนรู้ใดๆ ถ้าบุคคลถึงวุฒิภาวะและมีความพร้อมจะเรียนรู้ได้ดีกว่ายังไม่ถึงวุฒิภาวะ
และไม่มีความพร้อมความสามารถมนการเรียนรู้จากเด็กวัยรุ่นจะเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ
จากวัยรุ่นถึงวัยผู้ใหญ่จะคงที่จากวัยผู้ใหญ่หรือวัยชราจะลดลง ประสบการณ์เดิม ความบกพร่องทางร่างกาย ยิ่งมีความบกพร่องมากเท่าใด
ความสามารถในการรับรู้และเรียนรู้ก็น้อยลงเท่านั้น แรงจูงใจในการเรียน เช่น
รากฐานทางทัศนคติต่อครู
ต่อวิชาเรียน ความสนใจและความต้องการที่อยากจะรู้อยากเห็นในส่วนที่เรียน
2.
องค์ประกอบที่เกี่ยวกับบทเรียน เช่น
ความยากง่ายของบทเรียนถ้าเป็นบทเรียนที่ง่าย ผลการเรียนรู้ย่อมดีกว่าการมีความหมายของบทเรียน
ถ้าผู้เรียนได้เรียนในสิ่งมีมีความหมายเป็นที่สนใจของเขา ย่อมทำให้เกิดการเรียนรู่ได้ดีกว่า
ความยาวของบทเรียน บทเรียนสั้น ๆ
จะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีกว่าบทเรียนที่ยาว ตัวรบกวยจากบทเรียนอื่น หรือจากกิจกรรมอื่น จะขัดขวางการเรียนรู้ในสิ่งนั้น ๆ
ไม่ว่าตัวรบกวนนั้นจะเป็นกิจกรรมก่อนหรือหลังการเรียนรู้
3.
องค์ประกอบที่เกี่ยวกับวิธีเรียนวิธีสอน
เช่น กิจกรรมในการเรียนการสอน ครูควรเลือกกิจกรรมเพื่อให้เกิดผลการเรียนรู้ที่ดีที่สุดแก่นักเรียน ตามเนื้อหาวิชาและโอกาส การให้รางวัลและลงโทษ เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการเรียน การให้คำแนะนำในการเรียน โดยครูแนะนำให้ถูกต้องและเหมาะสมจะช่วยให้ผู้เรียนเรียนได้ดีขึ้น
4.
องค์ประกอบการสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น
สภาพแวดล้อมทางจิตวิทยา
ได้แก่ บรรยากาศในห้องเรียน ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนต่อนักเรียน ระหว่างนักเรียนกับครู สภาพของโต๊ะ
เก้าอี้ ทิศทางลม แสงสว่าง
ความสะอาด ความเป็นระเบียบ
ในทำนองเดียวกัน วนิช
บรรจง และคณะ (2514:87)
กล่าวเกี่ยวกับองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ดังนี้
1. การจูงใจ การเรียนรู้ต้องมีมูลเหตุจูงใจ ให้ผู้เรียนเกิดความสนใจที่จะเรียน การจูงใจอาจทำได้โดยการให้รางวัลและลงโทษ การให้คะแนน
การยอมรับนับถือจากผู้อื่น
ความสำเร็จในการงาน การรู้จุดมุ่งหมายของการเรียน
2. ตัวครู ต้องเป็นคนดีในทุก ๆ
ด้าน ควรเป็นผู้ที่รักในวิชาที่ตนสอนและต้องปลูกฝังความรักความสนใจและความเข้าใจในตัวเด็ก
สนใจผู้เรียน นอกจากนี้ต้องรู้จักใช้กลยุทธ์ของการสอนในรูปแบบต่าง ๆ
ตามความเหมาะสมของลักษณะวิชา ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ให้ทันสมัย
และทันต่อเหตุการณ์
3. สิ่งแวดล้อมทั้งทางครอบครัว
และทางโรงเรียนโดยเฉพาะสิ่งแวดล้อมทางโรงเรียนมีผลต่อการเรียนรู้เป็นอย่างมาก เช่น
สภาพของห้องเรียนที่น่าอยู่น่าอาศัย อุปกรณ์การเรียนการสอนที่เหมาะสมกับบทเรียน
4.
อุปกรณ์การศึกษาหรือเครื่องมือที่ครูนำมาประกอบการสอน
ช่วยให้ครูสามารถถ่ายทอดข้อเท็จจริง ทักษะต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี และจะช่วยให้ผู้เรียนได้ใช้ประสาทสัมผัสหลายทางช่วยเร้าความ
สนใจแก่ผู้เรียน ตลอดจนทำให้ผู้เรียนมีความตั้งใจเรียน
ไม่เบื่อหน่ายและรู้สึกว่าตนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน
5. วินัย
เป็นเครื่องมือช่วยให้มนุษย์อยู่ร่วมกันด้วยความเรียบร้อย และมีความสุขช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นไปอย่างเรียบร้อย
ซึ่งจะส่งผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
6.
การวัดและการประเมินผลการศึกษา
จะช่วยให้เห็นความก้าวหน้าของผู้เรียนได้อย่างแจ่มชัด
ทำให้สามารถปรับปรุงผลการเรียนทั้งรายบุคคลและส่วนรวมได้เป็นอย่างดี กล่าวได้ว่านักเรียนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญองค์แระกอบแรกของการเรียนรู้
การเรียนรู้นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในตัวนักเรียน
นักเรียนเป็นผู้ที่รู้ด้วยตนเอง พบเอง เห็นเอง
และเปลี่ยนประสบการณ์และพฤติกรรมด้วนตนเอง
นอกจากนี้ในการเรียนรู้ยังต้องพิจารณาองค์ประกอบด้านความแตกต่างระหว่างบุคคล
เพราะมนุษย์เรามีความแตกต่างกันทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา และความถนัด
ความแตกต่างทั้ง 5 ด้านนี้ เป็นองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้โดยตรง
อันจะเป็นผลให้มนุษย์เรามีการรับรู้ได้แตกต่างกัน
ทฤษฎีการเรียนรู้
ทฤษฎีการเรียนรู้ (Theories of Learning) เป็นพื้นฐานเพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียนการสอนซึ่งทฤษฎีการเรียนรู้นี้จะเป็นหลักของการสอนและวิธีการสอน
ทฤษฎีการเรียนรู้แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ
1.
ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism)
นักจิตวิทยาในกลุ่มนี้
ได้ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เห็นชัด สามารถวัดได้ สังเกตได้และทดสอบได้
แนวความคิดของกลุ่มนี้ถือว่าสิ่งแวดล้อมหรือประสบการณ์จะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมและการเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง
การแสดงพฤติกรรมจะมีความถี่มากขึ้นถ้าหากได้รับการเสริมแรง
แต่นักจิตวิทยาบางคนในกลุ่มนี้ไม่เห็นด้วย
และได้เสนอความคิดเห็นว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นถ้าหากได้รับการเสริมแรง
แต่นักจิตวิทยาบางคนในกลุ่มนี้ไม่เห็นด้วย
และได้เสนอความคิดเห็นว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ถ้ามีความใกล้ชิดระหว่างสิ่งเร้า
และการตอบสนอง
กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์ (2523 : 23)
ได้สรุปแนวความคิดของกลุ่มพฤติกรรมนิยมไว้ว่าพฤติกรรมทุกอย่างจะต้องมีสาเหตุ
สาเหตุนั้นมาจากวัตถุหรืออินทรีย์ ซึ่งเรียกสิ่งเร้า (Stimulus) เมื่อมากระตุ้นอินทรีย์
จะมีพฤติกรรมแสดงออกมาเรียกว่า การตอบสนอง (Response) ซึ่งก็คือพฤติกรรมจะเกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งเร้ามาเร้าอินทรีย์นั่นเอง
กลุ่มพฤติกรรมนิยมสามารถจำแนกทฤษฎีการเรียนรู้หลัก ๆ ได้ 3 ทฤษฎี (พรรณี ช.
เจนจิต. 2538 : 275-351)
1. Classical Conditioning หมายถึง การเรียนรู้ใด ๆ ก็ตาม ซึ่งมีลักษณะการเกิดตามลำดับขั้น
ดังนี้
1.1
ผู้เรียนมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าใดสิ่งเร้าหนึ่ง โดยไม่สามารถบังคับได้
มีการสะท้อนกลับ (Reflex) ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการเรียนรู้ (Unlearned หรือ Unconditioned)
เป็นไปโดยอัตโนมัติ
ผู้เรียนไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมได้
1.2
การเรียนรู้เกิดขึ้นเพราะความใกล้ชิด
และการฝึกหัดโดยการนำสิ่งเร้าที่มีลักษณะเป็นกลาง คือ
ไม่สามารถทำให้เกิดการตอบสนองได้มาเป็น Conditioned
Stimulus (CS) โดยนำมาควบคู่กับสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดการตอบสนองในช่วงที่ผู้เรียนเกิดการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เคยเป็นกลางนั้นเรียกว่า
เกิดการเรียนรู้ ชนิดมี Conditioned
2. Operant Conditioning ทฤษฎีนี้ได้เน้นถึงความสำคัญของการเสริมแรงโดย
Skinner มีความคิดเห็นว่า
การเสริมแรงจะมีส่วนช่วยให้มนุษย์เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
พฤติกรรมของมนุษย์ส่วนใหญ่จะเป็นไปในลักษณะที่ว่าอัตราการแสดงการกระทำต่าง ๆ
มักจะมีการกระทำต่อสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เสมอ ๆ
พฤติกรรมใดก็ตามที่ได้เป็นการกระทำต่อสิ่งแวดล้อมในลักษณะที่ว่าเป็นผลชองอัตราการตอบสนองซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงได้
เราเรียกสิ่งที่ทำให้อัตราการตอบสนองของผู้เรียนมีการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า
ตัวเสริมแรง
แต่ถ้าพฤติกรรมใดก็ตามไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วหลักการของทฤษฎีนี้ถือว่าพฤติกรรมนั้นไม่ได้รับการเสริมแรง
ทฤษฎีของ Skinner นี้อาจนำมาใช้ในการวัดพฤติกรรมหรือปลูกฝังพฤติกรรม
หรือ สร้างลักษณะนิสัยใหม่ ๆ ได้ วิธีการวัดพฤติกรรมนี้จำเป็นจะต้องใช้สิ่งเสริมแรง
เข้าช่วยในระยะที่ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมที่จะต้องการปลูกฝัง
นั่นคือถ้าผู้เรียนกระทำพฤติกรรมที่ต้องการจะให้เกิดพฤติกรรมแล้วจะต้องรีบให้รางวัลโดยทันที
3. Social Learning
หรือ การเรียนรู้ทางสังคม Bendura
มีความเห็นว่า
คนเรียนรู้ที่จะสังเกตและเลียนแบบพฤติกรรมของตัวแบบ
(ซึ่งตัวแบบแจจะได้รับแรงเสริมหรือไม่ได้)กระบวนการเรียนรู้ทางสังคมจะประกอบด้วย
3.1 ความใส่ใจ (Attention) จัดได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
เพราะถ้าผู้เรียนไม่มีความใส่ใจในการเรียนรู้ โดยการสังเกตหรือเลียนแบบก็จะไม่เกิดขึ้น
3.2 การจดจำ (Retention) เมื่อผู้เรียนมีความสนใจในการเรียน
ผู้เรียนก็จะสามารถจดจำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้
3.3 การลอกเลียนแบบ (Reproduction) เป็นกระบวนการที่ผู้เรียนแปรสภาพสิ่งที่จำได้
ออกมาเป็นการกระทำหรือแสดงพฤติกรรมที่เหมือนหรืใกล้เคียงตัวแบบ
3.4 แรงจูงใจ (Motivation) หมายถึง การเสริมแรง
ซึ่งการเสริมแรงอาจจะมาจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยตรง
หรือจากการคาดหวังว่าจะได้รับรางวัลเหมือนตัวแบบ (Vicarious) หรือจาการที่ตั้งมาตรฐานด้วยตนเองและได้ให้ข้อเสนอแนะว่า
พฤติกรรมทางสังคมหลาย ๆ ชนิด เช่น
ความก้าวร้าวอาจจะเรียนรู้ได้โยการเลียนแบบจากตัวแบบ
นอกจากนั้นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับด้านวิชาการก็สามารถเรียนรู้ได้จาการสังเกตและเลียนแบบจากตัวแบบ
เช่น ความมานะพยายาม ความเชื่อมั่น
ในตัวเองและทักษะทางสติปัญญา
2.
ทฤษฎีความรู้ความเข้าใจหรือทฤษฎีปัญญา (Cognitive
Theories)
พรรณี ช. เจนจิต (2538: 404-406)
ได้สรุปแนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มนี้มีความเห็นว่าการศึกษาพฤติกรรมควรเน้นความสำคัญของการะบวนการคิด
และการรับรู้ของคน ได้ให้ข้อเสนอ แนะว่าคนทุกคนทีธรรมชาติภายในที่ใฝ่ใจใคร่เรียน
เพื่อก่อให้เกิดสภาพที่สมดุล ดังนี้ นั้นการที่เด็กได้มีโอกาสเรียนตามความต้องการ
และความสนใจของตน
จะเป็นสิ่งที่มีความหมายสำหรับเด็กมากกว่าที่ครูหรือผู้อื่นจะบอกให้ ซึ่งก็คือ
“การจัดการเรียนการสอน โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ”
แนวความคิดของนักจิตวิทยากลุ่มนี้ได้มาจากหลักการของ Field theory ซึ่ง Lewin เป็นผู้เสนอไว้
ทฤษฎีนี้เน้นเกี่ยวกับการรับรู้ของคนซึ่งจะได้รับอิทธิพลทั้งจากวิธีการที่คนจัดสิ่งเร้าเพื่อให้เกิดการรับรู้หรือจากประสบการณ์
หรือจากความสนใจของบุคคล Lewin
ได้อธิบายเกี่ยวกับการแสดงพฤติกรรมของคนอันเนื่องมาจากการรับรู้ด้วย
“Life Space” ซึ่งคนจะแสดงพฤติกรรมตามสิ่งที่ตนรับรู้ภายใน
Life Space นั้นๆ ซึ่งถือว่าเป็น
สิ่งแวดล้อมตามที่เรารับรู้ ดังนั้น ในการทำความเข้าใจพฤติกรรมของคน
จำเป็นจะต้องรู้ทุก ๆ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับคน ๆ
นั้นภายในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งโดยเฉพาะ
แต่มีหลักการบางอย่างของจิตวิทยากลุ่มนี้ได้รับอิทธิพลจากกลุ่ม Gestal
ซึ่งเน้นเกี่ยวกับเรื่องความเข้าใจอย่างแท้จริง Bruner
ได้ชี้ให้เห็นว่าในการจัดการเรียนการสอนนั้น
วิธีที่จะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ และจำสิ่งที่เรียนไปแล้วได้คือการใช้
“เค้าโครง” หรือ “โครงสร้าง”
เพื่อช่วยให้เด็กมองเห็นภาพรวมของสิ่งที่จะเรียนทั้งหมด
ซึ่งจะทำให้เด็กสามารถเข้าใจหลักการของสิ่งที่เรียน ซึ่งจะสามารถนำไปใช้ในเรื่องอื่น
ๆ ได้อีก
นอกจานั้นยังเป็นลู่ทางที่เด็กจะสามารถเรียนสิ่งอื่นที่ยุ่งยากซับซ้อนได้ต่อไป
ในด้านการจัดการเรียนการสอนนักจิตวิทยากลุ่มนี้ ได้เสนอให้ใช้เทคนิคของ Discovery ซึ่งหมายถึง
การที่ให้เด็กได้คนพบวิธีแก้ปัญญาด้วยตนเอง
ซึ่งจาการที่เด็กทำได้ด้วยตนเองเช่นนั้น จะช่วยพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเอง
และทำให้เด็กคุ้นเคยกับทักษะของการแก้ปัญหา
นอกจากนั้นยังมีการใช้เทคนิคของการให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง
การเปิดโอกาสให้เด็กทำผิดพลาดและการคิดผิด เพื่อที่จะได้ทราบความคิดของเด็ก
ตลอดจนการใช้เทคนิคการสอบถาม (Inquiry)
เพื่อฝึกให้เด็กรู้จักการตั้งคำถาม
ในปัจจุบันการจัดการศึกษาตามแนวความคิดของกลุ่มนี้ได้ให้ความสนใจกับการจัดการเรียนการสอนในลักษณะ
Espoxitory ซึ่งก็คือ
การสอนที่ครูให้ทั้งหลักเกณฑ์และผลลัพธ์แต่เป็นไปในลักษณะที่ผู้เรียนเรียนอย่างรู้ความหมาย
โดยที่ถือว่าเป็นการเรียนรู้จะเดขึ้นได้ถ้าในการเรียนรู้สิ่งใหม่นั้นผู้เรียนเคยมีพื้นฐานเดิมซึ่งสามารถเชื่องโยงเข้ากับการเรียนรู้ใหม่ได้
ไม่ได้เป็นการเรียน สิ่งใหม่ทั้งหมดโดยไม่ได้นำความรู้เดิมมาใช้
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นการจัดการเรียนการสอนก็จะเป็นไปในลักษณะของการท่องจำ
3.
ทฤษฎีของกลุ่มมนุษยนิยม (Humanisticism)
กลุ่มมนุษยนิยมจะคำนึงถึงความเป็นคนของคน
จะมองธรรมชาติของมนุษย์ในลักษณะที่ว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับความดีที่ติดตัวมาแต่เกิด
มนุษย์เป็นผู้ที่มีอิสระสามารถที่จะนำตนเองและพึ่งตนเองได้
เป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ที่จะทำประโยชน์ให้สังคม มีอิสรเสรีภาพที่จะเลือกทำสิ่งต่าง
๐ ที่จะไม่ทำให้ผู้ใดเดือดร้อน ซึ่งรวมทั้งตนเองด้วย
มนุษย์เป็น(ที่มีความรับผิดชอบและเป็นผู้สร้างสรรค์สังคม
Maslow (อ้างใน พรรณี ช. เจนจิต 2538: 438-439)
ได้เสนอแนวคิดใหม่ เรียกว่า Third
Force Psychology ซึ่งมีความเชื่อพื้นฐานว่า
“ถ้าให้อืสรภาพแก่เด็กเด็กจะเลือกสิ่งทีดีสำหรับตนเอง
พ่อแม่และครูได้รับการกระตุ้นให้มีความไว้วางใจในตัวเด็กและควรเปิดโอกาสและช่วยให้เด็กเจริญเติบโตต่อไป
ไม่ใช่ใช้วิธีการควบคุมและบงการชีวิตของเด็กทั้งหมดเพื่อให้เป็นไปตามที่ตนเองต้องการ
สรุปได้ว่า (อ้าง ภรณ์ชนก บูรณะเรข)
แนวความคิดของกลุ่มมนุษย์นิยมที่เกี่ยวกับการศึกษา คือ
นักเรียนควรจะได้รับความช่วยเหลือให้มีความเข้าใจในตนเอง มีจุดยืนเป็นของตนเองอย่างชัดเจนว่า ตนเองมีความต้องการสิ่งใดแน่และมีจุดมุ่งหมายในชีวิตอย่างไร เพราะในปัจจุบันมีสิ่งที่เด็กจะต้องตัดสินใจเลือกมากมาย
คนที่มีจุดยืนที่แน่นอนเท่านั้นจึงจะสามารถเลือกสิ่งที่มีความหมายและก่อให้เกิดความพึงพอใจให้กับตนเองให้ดีที่สุด นักจิตวิทยาในกลุ่มนี้มีความเห็นตรงกันว่า
เด็กควรได้รับความช่วย เหลือจากครูในทุกด้านไม่ใช่เฉพาะการได้รับความรู้ หรือการมีความเฉลียวฉลาดเพียงอย่างเดียว
แต่ควรได้รับความช่วยเหลือให้รู้จักศึกษาและสำรวจเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก
และทำความเข้าใจเกี่ยว กับความรู้สึกนึกคิด
เจตคติ และจุดมุ่งหมายความต้องการของตนเอง
4.
ทฤษฎีผสมผสาน ( Integrated Theory )
ทฤษฎีการเรียนรู้ของ Gagne ( อ้างใน ปรียาพร
วงศ์อนุตรโรจน์ 2543 : 86-88 )
ได้ผสมผสานทฤษฎีพฤติกรรมนิยมกับทฤษฏีความรู้ความเข้าใจ แล้วสรุปเป็น
8 ขั้นตอนในการเรียนรู้
1. การเรียนรู้สัญญาณ ( Sign Learning ) เป็นการเรียนรู้ที่อยู่ในระดับต่ำสุด เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ เช่น
จกการทดลองการหลั่งน้ำลายของสุนัข
เมื่อสุนัขได้ยินเสียงกระดิ่ง
ตามทฤษฎีการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไขของ
Pavlov การเรียนรู้สัญญาณเป็นสิ่งที่เราสามารถสังเกตเห็นจากชีวิตประจำวันของเรา ได้แก่
การกระพริบตา เมื่อมีของมากระทบตาเรา
2.
การเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง ( Stimulus Response
Learning ) เป็นการเคลื่อนไหวของอวัยวะต่าง
ๆ ของร่างกายต่อสิ่งเร้า
เป็นการเน้นข้อต่อระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองโดยผู้เรียนเป็นผู้กระทำเอง เช่น
การทดลองจิกแป้นสีของนกพิราบจากการทดลองของ Skinner
3. การเรียนรู้การเชื่อมโยง ( Chaining
) เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองติดต่อกับเป็นการเรียนรู้ในด้านทักษะ เช่น
การเขียน การอ่าน การพิมพ์ดีด
และการเล่นดนตรี เป็นต้น
4. การเชื่อมโยงทางภาษา ( Verbal Association ) เป็นการเชื่อมโยงความหมายทางภาษาโดยออกมาเป็นคำพูด แล้วจึงใช้ตัวอักษร เช่น
การเรียนการใช้ภาษา รวมทั้งการเขียนตัวอักษรด้วย
5. การแยกประเภท
( Multiple Discrimination Learning ) เป็นความสามารถในการแยกสิ่งเร้าและการตอบสนอง
ผู้เรียนเห็นความแตกต่างของสิ่งของประเภทเดียวกัน เป็นการจำแนกความแตกต่างด้านทักษะและภาษา สามารถแยกลักษณะของลายเส้นจากหมึกได้
6. การเรียนรู้ความคิดรวบยอด ( Concept Learning ) เป็นความสามารถที่ผู้เรียนมองเห็นลักษณะร่วมของสิ่งต่างๆ เช่น
เมื่อนึกถึงวิทยุก็นึกถึงความถี่ของเสียง
การใช้ไฟฟ้าและแบตเตอรี่การรับฟังข่าวสารบันเทิงได้
7. การเรียนรู้หลักการ ( Principle Learning ) เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการนำความคิดรวบยอดสองความคิดหรือมากกว่านั้นมาสัมพันธ์กัน
แล้วสรุปตั้งเป็นกฎเกณฑ์ขึ้น เช่น ไฟฟ้าเป็นสื่อนำความร้อน
8. การเรียนรู้การแก้ปัญหา ( Problem
- Solving ) การเรียนรู้ด้วยการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากที่ผู้เรียนนำหลักการที่มีประสบการณ์มาก่อนมาใช้ในการแก้ปัญหา
เป็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมและปัญหา เช่น
ไฟฟ้าเป็นสื่อนำความร้อน
เราก็นำไฟฟ้ามาใช้หุงต้มได้
ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการผสมผสานหลักการเรียนรู้ตามทฤษฎีต่าง ๆ
เข้ามาร่วมกันเพื่อทำให้นักเรียนสามารถเลือกใช้หรือเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องมีการผสมผสานหลักทฤษฎีเข้าด้วยกัน
การจัดกระบวนการให้เชื่อมโยงถ่ายโอนความรู้หรือแยกแยะให้เห็นความแตกต่าง
แล้วเอาความรู้พื้นฐานของตนมาร่วมคิดประกอบก่อนตัดสินใจ ตอบสนอง หรือแก้ปัญหานั้น ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น