สัปดาห์ที่ 15


1.      NPU MODEL ผศ.ดร.พิจิตรา ธงพานิช


2.      NPU MODEL นายพงษ์พัฒน์ สิทธิ


3.      อธิบาย NPU MODEL
Need Analysis
การวิเคราะห์ความต้องการ (Need Analysis) ความต้องการ (Need) คือ ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นอยู่กับสิ่งที่คาดหวังให้เป็นไป เช่น ความแตกต่างระหว่างผลงานที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลท าออกมากับมาตรฐานที่ก าหนด ความไม่เหมือนกันของ สิ่งที่บุคคลผู้หนึ่งมีกับสิ่งที่ผู้ต้องการอยากให้มี การวิเคราะห์ความต้องการจึงเป็นการหาให้พบว่า กลุ่มบุคคลเป้าหมายปฏิบัติงานได้ต่างกว่าระดับที่องค์การต้องการ (Gap) เพียงใด เป็นการวิเคราะห์ว่าบุคลากรกลุ่มเป้าหมาย ที่ศึกษานั้น ได้ปฏิบัติงานได้ถึงระดับที่องค์กรต้องการหรือไม่ ทั้งโดยชนิด ปริมาณงาน คุณภาพของงาน ความต้องการเหล่านี้สามารถใช้วิธีใดพัฒนาให้ดีขึ้นมาอยู่ในระดับที่องค์การต้องการ เช่น ด้วยการฝึกอบรมบุคลากร ที่เกี่ยวข้อง หรือด้านการพัฒนากระบวนการท างาน หรือด้วยการจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือเพิ่มเติม หรือด้วยการ พัฒนาทางการบริหารอื่น ๆ สำหรับความต้องการขององค์การที่สามารถตอบสนองได้

ด้วยการจัดการฝึกอบรมให้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้อง เรียกว่า ความจ าเป็นในการฝึกอบรม (Training Needs) ซึ่งจะได้มาจากกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการ ความจ าเป็นในการฝึกอบรมนี้เมื่อวิเคราะห์จากข้อมูลที่รวบรวมก็สามารถค้นหาเป้าหมายในการฝึกอบรม (Instructional Goals) ที่จะสนองความต้องการจากข้อมูลที่มีอยู่เพื่อประกอบการก าหนดแผนและหลักสูตรฝึกอบรม ให้แก่บุคลากรในองค์การที่เกี่ยวข้องต่อไป

Praxis
สมิธ (Smith, M.K. 1996) ได้ให้แนวคิดในการนิยาม “หลักสูตร” ตามทฤษฏีและการปฏิบัติหลักสูตร
มี 4 ทิศทางดังต่อไปนี้
1.หลักสูตรเป็นองค์ความรู้ที่จะส่งผ่านให้ผู้เรียน
2.หลักสูตรเป็นความพยายามที่จะช่วยให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์
3.หลักสูตรเป็นกระบวนการd
4.หลักสูตรเป็น Praxis หมายถึง การปฏิบัติของมนุษย์และความเข้าใจในการปฏิบัตินั้น

Understanding
ในการดำเนินชีวิตประจำวันเกี่ยวข้องกับการรู้ (to know) และการรับรู้ (perception) โดยมีประสาท
สัมผัสทั้งห้า และใจเป็นตัวรู้อารมณ์ และน าไปสู่ความรู้สึกและความเข้าใจ ดังนั้นการแสดงอาการความเข้าใจโดยการตอบรับด้วยอาการ ผยักหน้า หรือส่งเสียงบอกให้ทราบอย่างใด อย่างหนึ่ง ครับ คะ โอเค ในภาษาอังกฤษ ก็คือ yes , ok, I see , I get ที่กล่าวมาเป็นการรับรู้และเข้าใจ อาจจะมาจากค าถามว่า รู้เรื่องไหม เข้าใจไหม รู้หรือเปล่า ซึ่งบางครั้งมีความหมายไปในทางที่การรู้อย่างเดียวก็อาจไม่เข้าใจก็ได้เช่นรู้แต่ทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ ดังนั้นความเข้าใจจึงมีหลายระดับ I see อาจเป็นความเข้าใจที่ผิวเผิน กว่า I get ยังมีความเข้าใจที่น ามาใช้เป็นทางการมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ใช้ในการเรียนการสอน ได้แก่คำว่า comprehension กับคำว่า understanding เป็นค าที่มีความหมายเดียวกันแต่ค าว่า understand จะใช้ในภาษาพูดมากกว่า comphehension นั้นเป็นการสร้างความหมาย (construction of meaning) ในแง่นี้การสร้างความหมายของแต่ละคนก็อาจแตกต่างกันไปก็คือเข้าใจแตกต่างกันไปด้วยในแต่ละคน ส่วนคำว่า understanding เป็นความเข้าใจที่ต้องใช้ความรู้เดิมที่มีอยู่แล้วมาช่วยในการสร้างความรู้ใหม่ที่มีความหมายไปไกลกว่าสารสนเทศที่ให้มาหรือที่ได้รับมาและความรู้พื้นฐาน (ความรู้ที่มีอยู่เดิม) ซึ่งน ามาเป็นหลักฐานในการสร้างความรู้ใหม่มากกว่าที่จะดึงเอามาจากความจำประจำตัว

Research-Based Learning (RBL)
นิยามของการจัดกำรศึกษาแบบRBL
            การเรียนรู้เป็นการจัดกิจกรรมหรือประสบการณ์เพื่อให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมที่พึ่งประสงค์กระบวนการเรียนรู้ประกอบด้วยการก าหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ การจัดกิจกรรมหรือประสบการณ์เรียนรู้การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้แก่ผู้เรียนในสถานศึกษาเกี่ยวข้องการทั้งกระบวนการเรียนและการสอน การเรียนนั้นเป็นบทบาทของผู้เรียนส่วนการสอนเป็นบทบาทของผู้สอน การเรียนรู้แบบ RBLเป็นการจัดการเรียนการสอนที่น า “การวิจัย” เข้ามาเป็นเครื่องมือของการจัดการเรียนการสอน

ลักษณะสำคัญของการจัดการศึกษาแบบ RBL
ลักษณะของการจัดการศึกษาแบบ RBL มีดังนี้ คือ
หลักการที่1. แนวคิดพื้นฐาน เปลี่ยนแนวคิดจาก’เรียนรู้โดยการฟัง/ตอบให้ถูก’ เป็น ‘การถาม/หา
คำตอบเอง’
หลักการที่2. เป้าหมาย เปลี่ยนเป้าหมายจาก’การเรียนรู้โดยการจ า/ท า/ใช้’ เป็นการคิด/ค้น/แสวงหา’
หลักการที่3. วิธีสอน เปลี่ยนวิธีสอนจาก’ การเรียนรู้โดยการบรรยาย’ เป็น ‘การให้คำปรึกษา’
หลักการที่4. บทบาทผู้สอน เปลี่ยนบทบาทผู้สอนจาก’ การเป็นผู้ปฏิบัติเอง’ เป็น ‘การจัดการให้ผู้เรียนปฏิบัติ



4. อธิบาย N P U
N = Planing
วางแผนเขียนเป็นปรัชญา / วิสัยทัศน์/พันธกิจ / จุดหมายของหลักสูตร / ส่วนนี้คือ creativity ที่เป็น planning

 วิจารณ์ พานิช  (2555)  กล่าวว่า ศตวรรษที่ 21 สถานการณ์โลกมีความแตกต่างจากศตวรรษที่ 20 และ 19 ระบบการศึกษา ต้องมีการพัฒนาเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะความเป็นจริง ในประเทศสหรัฐอเมริกาแนวคิดเรื่อง "ทักษะแห่งอนาคตใหม่ : การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21"ได้ถูกพัฒนาขึ้น หน่วยงานต่างๆ มีความกังวลและเห็นความจำเป็นที่เยาวชนจะต้องมีทักษะสำหรับการดำรงชีวิตในโลกแห่งศตวรรษที่21 ที่เปลี่ยนไปจากศตวรรษที่ 20 และ 19 โดยครูต้องเปลี่ยนเป้าหมายการเรียนรู้ของศิษย์ จากเน้นเรียนวิชาเพื่อได้ความรู้ ให้เลยไปสู่การพัฒนาทักษะที่สำคัญต่อชีวิตยุคใหม่ โดยการเรียนรู้ยุคใหม่ ต้องเรียนให้เกิดทักษะ เพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่21 โดยหน้าที่ของครูได้เปลี่ยนไป จากการเน้น "สอนไปทำหน้าที่จุดประกายความสนใจใฝ่รู้ โดยให้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ (learning by doing) จึงได้พัฒนาวิสัยทัศน์และกรอบความคิดเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ขึ้น สามารถสรุปทักษะสำคัญ ที่เด็กและเยาวชนควรมี ซึ่งได้แก่ การเรียนรู้ 3R x 7C
 3R x 7C
ทักษะของคนในศตวรรษที่ ๒๑ ที่คนทุกคนต้องเรียนรู้ตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัย และตลอดชีวิต คือ 3R x 7C
3R ได้แก่
Reading (อ่านออก)
(W)Riting (เขียนได้)
(A)Rithmetics (คิดเลขเป็น)

7c ได้แก่
1.       Critical thinking & problem solving (ทักษะด้านการคิด
อย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา)
2.       Creativity & innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม)
3.       Cross-cultural understanding (ทักษะด้านความเข้าใจต่าง
วัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์)
4.       Collaboration, teamwork & leadership (ทักษะด้านความร่วมมือ
การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ)
5.       Communications, information & media literacy (ทักษะด้าน
การสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ)
6.       Computing & ICT literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่อสาร)
7.       Career & learning skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ คือ การเรียนรู้ 3R x 7Cครูเพื่อศิษย์เองต้องเรียนรู้ 3R x 7C และต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต แม้เกษียณอายุจากการเป็นครูประจำการไปแล้ว เพราะเป็นการเรียนรู้เพื่อชีวิตของตนเอง ระหว่างเป็นครูประจำการก็เรียนรู้สำหรับเป็นครูเพื่อศิษย์ และเพื่อการดำรงชีวิตของตนเอง


P = Generating
ออกแบบและจัดหลักสูตร (design & organize ) เขียนเป็นสาระในหลักสูตร วิชาบังคับ วิชาเลือก / ความรู้ ทักษะ สมรรถนะ เมื่อจบหลักสูตร / creativity = generating การทำให้หลักสูตรปรากฏ มีขึ้น / กรณีนี้อาจเขียนเป็น course syllabus
"สรุปหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551"

U = Producing
หลักสูตร evaluation
เขียนเป็นระดับคุณภาพตาม SOLO Taxonomy ได้ คะแนนมีความรู้ในเนื้อหา
ขั้นเลียนแบบ / ได้ คะแนนมี 1 + มีทักษะจากการใช้ความรู้ฝึกฝน

ขั้นประยุกต์ / ได้ คะแนน ต้องมี และ ขั้นสร้างสรรค์

หลักสูตรสถานศึกษาที่ผู้ศึกษาได้ศึกษา
หลักสูตรโรงเรียนวินิตศึกษา ในพระราชูปถัมภ์ฯ พุทธศักราช   ๒๕๕๒ (ฉบับปรับปรุง  พุทธศักราช  ๒๕๕๕) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  พุทธศักราช ๒๕๕๑ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
วิสัยทัศน์ 
โรงเรียนวินิตศึกษา ในพระราชูปถัมภ์ฯ เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียน “มีวินัย ใฝ่คุณธรรม จริยธรรม เลิศล้ำวิชาการ สู่มาตรฐานสากล บนพื้นฐานความเป็นไทย” 
สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน  
ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรโรงเรียนวินิตศึกษา ในพระราชูปถัมภ์ฯ มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ ตามมาตรฐานที่ก าหนด  ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญที่สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๒  มุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ  ๕  ประการ  ดังนี้
 ๑. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร  มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจขจัดและลดปัญหา ความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้ วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 
๒. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่าง สร้างสรรค์  การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อน าไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อ การตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม
๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ     ที่เผชิญได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการ เปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น        ต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 
๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ   เป็นความสามารถในการน ากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ใน การด าเนินชีวิตประจ าวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง  การท างาน และการอยู่ร่วมกันในสังคม ด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การ ปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น
๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมี ทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร  การท างาน  การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม

คุณลักษณะอันพึงประสงค์
หลักสูตรโรงเรียนวนิิตศึกษา  ในพระราชูปถัมภ์ฯ  มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลกัษณะอันพึงประสงค ์เพื่อให้ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข  ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก   และจะต้องสอดคล้องกับ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช  ๒๕๕๑   ดังนี้
๑.  รักชาติ  ศาสน์ กษัตริย์
๒.  ซื่อสัตยสุจริต
๓.  มีวินัย
๔. ใฝ่เรียนรู้
๕. อยู่อย่างพอเพียง
๖.  มุ่งมั่นในการทำงาน
๗.  รักความเป็นไทย
๘.  มีจิตสาธารณะ
"หลักสูตรโรงเรียนวินิตศึกษา ในพระราชูปถัมภ์ฯ"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น