1.หลักสูตรบูรณาการ
หลักสูตรบูรณาการ (The
Integrated Curriculum) เป็นหลักสูตรที่พัฒนามาจากหลักสูตรกว้างโดยนำเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ
มาหลอมรวม ทำให้เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละวิชาหมดไป
การผสมผสานเนื้อหาของวิชาต่างๆ เข้าเป็นเนื้อเดียวกันทำได้หลายวิธี
ซึ่งจะได้ชี้ให้เห็นต่อไปอย่างไรก็ตามที่มีการจัดทำหลักสูตรบูรณาการขึ้นไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของหลักสูตรหลายวิชาเท่านั้นมีเหตุผลและความคิดพื้นฐานซึ่งสนับสนุนอยู่ด้วยจะขออธิบายให้ทราบโดยสังเขปดังต่อไปนี้
ลักษณะของหลักสูตรบูรณาการที่ดี
1. บูรณาการระหว่างความรู้และกระบวนการเรียนรู้
2. บูรณาการระหว่างพัฒนาการทางความรู้และพัฒนาการทางจิตใจ
3. บูรณาการระหว่างความรู้และการกระทำ
การสร้างสหสัมพันธ์ระหว่างความรู้
4. บูรณาการระหว่างสิ่งที่เรียนในโรงเรียนกับสิ่งที่เป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้เรียนสิ่งหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่าหลักสูตรดีหรือไม่ดี
5. บูรณาการระหว่างวิชาต่างๆ
ถ้าเรายอมรับว่าบูรณาการระหว่างความรู้กับจิตใจ
รูปแบบของบูรณาการ
หลักสูตรบูรณาการเท่าที่มีอยู่ในเวลานี้มี
3 รูปแบบ
แต่ในการปฏิบัติจริงมักจะมีการผสมกันระหว่างรูปแบบต่างๆ
ที่นำมาจำแนกให้เห็นก็เพื่อความเข้าใจว่าพื้นฐานที่แท้จริงของแต่ละรูปแบบนั้นเป็นอย่างไร
1. บูรณาการภายในหมวดวิชา
เราได้ทราบแล้วว่าหลักสูตรกว้างนั้นเป็นหลักสูตรที่ได้มี การนำเอาวิชาหลายๆ
วิชามารวมกันในลักษณะที่ผสมกลมกลืน แทนที่จะนำเอาเนื้อวิชามาเรียงลำดับกันเฉยๆ
ตัวอย่างเช่น ในวิทยาศาสตร์ทั่วไป ได้มีการนำเอาเนื้อหาวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา
มารวมกัน และต่อมาก็นำเอาวิชาโภชนาการ สุขศึกษา และสิ่งแวดล้อมมาผสมผสานด้วย
หรือในวิชาสังคมศึกษา ก็นำเอาประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ หน้าที่พลเมือง จริยศึกษา
ซึ่งเป็นการสอดคล้องกับแนวความคิดของหลักสูตรที่ว่าการเรียนรู้ต้องมีลักษณะเป็นสหวิทยาการ
2. บูรณาการ
ภายในหัวข้อ และโครงการ หลายประเทศในเอเชียนิยมใช้วิธีการแบบนี้คือ การนำเอาความรู้ ทักษะ และประสบการณ์
ของวิชาหรือหมวดวิชาตั้งแต่สองวิชาหรือหมวดวิชาขึ้นไป มาผสมผสานกันในลักษณะที่เป็นหัวข้อหรือโครงการ
ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้เรียนและในแต่ละหัวข้อจะมีการแบ่งเป็นหน่วยการเรียน
(Units of Learning) ด้วยทำให้เกิดหลักสูตรบูรณาการที่เราเรียกว่า
หลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคม (The Social Process and
Life Function Curriculum)
3. บูรณาการโดยการผสมผสานปัญหาและความต้องการของผู้เรียนและของสังคม
หลักสูตรที่ใช้การผสมผสานแบบนี้
ความจริงก็มีรูปแบบเหมือนอย่างสองแบบแรกที่ได้กล่าวมาแล้วคืออาจผสมผสานภายในหมวดวิชาหรือภายในหัวข้อและโครงการก็ได้
สิ่งที่แตกต่างออกไปคือหัวข้อหรือหน่วยการเรียน หรือโครงการจะเน้นการแก้ปัญหาชีวิตประจำวันของผู้เรียนไม่ว่าปัญหาส่วนตัว
ปัญหาชุมชน ปัญหางานอาชีพ ปัญหาสังคม ฯลฯ
ตัวอย่างของหัวข้อหรือหน่วยการเรียนได้แก่ “มลภาวะจากอากาศ น้ำและเสียง” “การตกต่ำของผลผลิตทางการเกษตรกรรม”
“การตัดไม้ทำลายป่าและการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ” “สภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ” “โรคที่สำคัญ” ฯลฯ
2. หลักสูตรกว้าง
หลักสูตรกว้าง (The Broad-Field
Curriculum) เป็นหลักสูตรอีกแบบหนึ่งที่พยายามแก้ไขจุดอ่อนของหลักสูตรรายวิชา
โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมการเรียนการสอนให้เป็นที่น่าสนใจและเร้าใจ ช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและสามารถปรับตนให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมได้เป็นอย่างดี รวมทั้งให้มีพัฒนาการในด้านต่างๆ ทุกด้าน
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพยายามจะหนีจากหลักสูตรที่ยึดวิชาเป็นพื้นฐาน
มีครูหรือผู้สอนเป็นผู้สั่งการแต่เพียงผู้เดียว วิชาต่างๆ ที่แยกจากกันเป็นเอกเทศ จนทำให้ผู้เรียนมองไม่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิชาเหล่านั้น
ผลก็คือนักเรียนไม่สามารถนำเอาความรู้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
ลักษณะสำคัญของหลักสูตรกว้าง
1. จุดหมายของหลักสูตรมีขอบข่ายกว้างขวางกว่าหลักสูตรรายวิชา
ขอบข่ายอาจครอบคลุมไปถึงสังคมด้วย จะเห็นได้จากการที่จุดหมายของหลักสูตรประถมศึกษา
พ.ศ.2503
ครอบคลุมการฝึกอบรมเพื่อนำไปสู่คุณลักษณะที่เกี่ยวกับการตระหนักในตน
มนุษย์สัมพันธ์ความสามารถในการครองชีพ และความรับผิดชอบตามหน้าที่พลเมือง
2. จุดประสงค์ของแต่ละหมวดวิชา
เป็นจุดประสงค์ร่วมกันของวิชาต่างๆ ที่นำมารวมกันไว้ ตัวอย่าง เช่น
ในหมวดของสังคมศึกษาของประถมศึกษาตอนปลาย พ.ศ.2503
ซึ่งประกอบด้วยวิชาศีลธรรม หน้าที่พลเมือง ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์
ได้กำหนดจุดประสงค์ของหมวดวิชาครอบคลุมวิชาทั้งสี่นี้เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขอนำเอาจุดประสงค์
3. โครงสร้างหลักสูตรมีลักษณะเป็นการนำเอาเนื้อหาของแต่ละวิชาซึ่งได้เลือกสรรแล้วมาเรียงลำดับกันเข้า
โดยไม่มีการผสมผสานกันแต่อย่างใด หรือถ้ามีก็น้อยมาก
อย่างไรก็ตามหลักสูตรนี้เมื่อได้รับการดัดแปลงให้
3. หลักสูตรประสบการณ์
หลักสูตรประสบการณ์ (The
Experience Curriculum) เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่ว่าหลักสูตรเดิมที่ใช้อยู่
ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรรายวิชาหรือหลักสูตรกว้าง
ล้วนไม่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสนใจและกระตือรือร้นในการเรียนเท่าที่ควร
พื้นฐานความคิดของหลักสูตรนี้มีมาตั้งแต่สมัยรุซโซ (Rousseau)
และเพลโต
(Plato) แต่ได้นำมาปฏิบัติจริงเมื่อต้นศตวรรษที่
20
นี้เองนับเป็นก้าวแรกที่ยึดเด็กหรือผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
แรกที่เดียวหลักสูตรนี้มีชื่อว่าหลักสูตรกิจกรรม (The
Activity Curriculum) ที่เปลี่ยนชื่อไปก็เนื่องจากได้มีการแปลเจตนารมณ์ของหลักสูตรผิดไปจากเดิม
กล่าวคือ มีบุคคลบางกลุ่มคิดว่าถ้าให้ผู้เรียนทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเองแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมอะไรผู้เรียนก็จะเรียนรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์
เข้าทำนองว่าขอให้ทำกิจกรรมก็เป็นใช้ได้ (Activity
for activity sake) ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการคิดว่าควรเปลี่ยนชื่อเสียใหม่
ประกอบกันในระยะนั้นทฤษฎีเปลี่ยนชื่อเป็นหลักสูตรประสบการณ์ ต่อมาภายหลังเมื่อ
วิลเลี่ยมคิลแพทริก (William Kilpatrick) นำเอาความคิดเรื่องการจัดประสบการณ์ในรูปการสอนแบบโครงการเข้ามาหลักสูตรนี้ก็ได้ชื่อเพิ่มขึ้นอีกชื่อหนึ่งว่า
หลักสูตรโครงการ (The Project Curriculum) อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในที่นี้เราจะใช้ชื่อหลักสูตรประสบการณ์เพียงชื่อเดียว
อย่างไรก็ตาม หลักสูตรประสบการณ์ได้รับความนิยมอยู่ไม่นานก็ซบเซาไป
ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาของหลักสูตรนี้มีมาก และปัญหาบางอย่างก็ยังแก้กันไม่ตก
ดังจะได้กล่าวต่อไป
4. หลักสูตรรายวิชา
หลักสูตรรายวิชา (The
Subject Curriculum) เป็นหลักสูตรที่ใช้กันมาแต่ดั้งเดิมไม่เฉพาะแต่ในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
ประเทศในเอเชียรวมทั้งประเทศไทยก็ได้ใช้หลักสูตรแบบนี้มาแต่ต้น
การที่เรียนกว่าหลักสูตรรายวิชาก็เนื่องจากโครงสร้างของเนื้อหาวิชาในหลักสูตร
จะถูกแยกออกจากกันเป็นรายวิชาโดยไม่จำเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกัน
ไม่ว่าในด้านเนื้อหาหรือการสอน
สำหรับเนื้อหาที่คัดมาถือว่าเป็นเนื้อหาที่สำคัญและจำเป็นต่อการเรียนรู้
หลักสูตรของไทยเราที่ยังเป็นหลักสูตรรายวิชา ได้แก่ หลักสูตรมัธยมและอุดมศึกษา
แต่มีการปรับปรุงโครงสร้าง โดยนำเอาระบบหน่วยกิตมาใช้ ซึ่งจะได้อธิบายในโอกาสต่อไป
1. ลักษณะสำคัญของหลักสูตร
1. จุดมุ่งหมายของหลักสูตร
มุ่งส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียนโดยใช้วิชาต่างๆ เป็นเครื่องมือ
ดังนั้นโครงสร้างของหลักสูตรจึงประกอบด้วยวิชาต่างๆ หลายวิชา
ซึ่งนักพัฒนาหลักสูตรคิดว่าจะสามารถส่งเสริมพัฒนาการตามที่ได้ดั่งจุดหมายไว้
2. จุดมุ่งหมายของหลักสูตร
อาจมีส่วนสัมพันธ์กับสังคมหรือไม่ก็ได้
และโดยทั่วไปหลักสูตรนี้ไม่คำนึงถึงผลที่เกิดแก่สังคมเท่าใดนัก
3. จุดประสงค์ของแต่ละวิชาในหลักสูตร
เน้นการถ่ายทอดเนื้อหาวิชาเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้และลักษณะในวิชานั้นๆ
เป็นสำคัญ
4. โครงสร้างของเนื้อหาวิชา
ประกอบด้วยเนื้อหาของแต่ละวิชาที่เป็นเอกเทศไม่เกี่ยวข้องกับวิชาอื่น
และจะถูกจัดไว้อย่างมีระบบ เป็นขั้นตอน เพื่อสะดวกแก่การเรียนการสอน
5. กิจกรรมการเรียนการสอน
เน้นเรื่องการถ่ายทอดความรู้ ด้วยการมุ่งให้ผู้เรียนจำเนื้อหาวิชา การส่งเสริมพัฒนาการในด้านอื่นๆ
ถือว่าเป็นเรื่องกิจกรรมนอกหลักสูตร หรือไม่ก็เป็นผลพวงจากการเรียนรู้เนื้อหาวิชา
6. การประเมินผลการเรียนรู้
มุ่งในเรื่องความรู้และทักษะในวิชาต่างๆ ที่ได้เรียนมา
5. หลักสูตรแกน
หลักสูตรแกน (The
Core Curriculum) ถือกำเนิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกาเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1900
ด้วยเหตุผลสองประการ คือ
ความพยายามที่จะปลีกตัวออกจากการเรียนที่ต้องแบ่งแยกวิชาออกเป็นรายวิชาย่อยๆ
หรือพูดง่ายๆ ก็คือความพยายามที่จะให้หลุดพ้นจากการเป็นหลักสูตรรายวิชา
ประการหนึ่ง และความพยายามที่จะดึงเอาความต้องการและปัญหาของสังคมมาเป็นศูนย์กลางของหลักสูตร
อีกประการหนึ่ง
แรกทีเดียวได้มีการนำเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ มารวมกันเข้าเป็นวิชากว้างๆ
เรียกว่าหมวดวิชา ทำให้เกิดหลักสูตรแบบกว้างขึ้น
แต่หลักสูตรนี้มิได้มีส่วนสัมพันธ์กับปัญหาและความต้องการของสังคมมากนัก ดังนั้นจึงมีผู้คิดหลักสูตรแกนเพื่อสนองจุดหมายที่ต้องการ
ก. ไม่ว่าจะตีความหมายอย่างใด
หลักสูตรแกนเป็นหลักสูตรที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียนเหมือนกันทั้งหมด
ข. ความแตกต่างของเนื้อหาของหลักสูตรขึ้นอยู่กับนโยบายและจุดมุ่งหมายของการศึกษาซึ่งผู้รับผิดชอบเป็นผู้กำหนด
ค.
ทุกหลักสูตรต่างมีจุดเน้นที่วัฒนธรรม
ค่านิยมและปัญหาสังคม
แต่จะเน้นมากหรือน้อยกว่ากันเพียงใด
ย่อมขึ้นอยู่กับนโยบายประเทศนั้นๆ
ง.
ตามปกติหลักสูตรแกนจะเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรแม่บท และมีลักษณะเป็นหลักสูตรบูรณาการ
6. หลักสูตรแฝง
หลักสูตรแฝง
เป็นคำที่แปลมาจากภาษาอังกฤษว่า Hidden curriculum แต่มีนักพัฒนาหลักสูตรบางท่านพอใจที่จะใช้คำอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกัน
เช่น กู๊ดแลด (Goodlad,1094) ใช้คำว่า
implicit curriculum และเซย์เลอร์กับอเล็กซานเดอร์
(Saylor & Alexander,1974) ใช้คำว่า
unstudied curriculum ถึงแม้จะใช้คำที่แตกต่างกันไปบ้าง
แต่ต่างก็มีความหมายใกล้เคียง หรือถือได้ว่าเป็นความหมายที่มีนัยเดียวกัน
คือเป็นหลักสูตรที่แฝงซ่อนเร้น ไม่เปิดเผย และไม่ได้มุ่งศึกษาโดยตรง
เพราะถือว่าเป็นหลักสูตรที่ไม่เป็นทางการ (unofficial
curriculum)
หลักสูตรแฝง
เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้กำหนดแผนการเรียนรู้เอาไว้ล่วงหน้าและเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่โรงเรียนไม่ได้ตั้งใจจะจัดให้
จากนิยามนี้สามารถอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจดีขึ้นโดยตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมดังนี้
ในทางเปิดเผยโรงเรียนสอนคณิตศาสตร์และจัดให้เด็กชายหญิงเรียนรู้ การอ่าน การเขียน
การสะกดคำและอื่นๆ
แต่โรงเรียนและครูได้สอนหลายสิ่งหลายอย่างโดยไม่ตั้งใจจากการสอนตามหลักสูตรปกติในรูปของกฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นมา
และเรียนรู้จากสภาพการณ์และเงื่อนไขเชิงสังคมและเชิงกายภาพที่โรงเรียนจัดให้
เป็นต้นว่าสอนนักเรียนให้ทำงานตามลำพังในเชิงของการแข่งขัน
หรือให้นักเรียนทำงานด้วยกันเป็นกลุ่ม สอนให้นักเรียนเป็นผู้กระทำหรือเป็นถูกกระทำ
ให้รู้จักพอใจเกี่ยวกับข้อเท็จจริงพื้นๆ
หรือให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งและอื่นๆ สรุปสั้นๆ และตรงประเด็นก็คือ
ครูหรือโรงเรียนสอนค่านิยมให้แก่เด็กอย่างแอบแฝง หรือโดยไม่ตั้งใจ
7. หลักสูตรสัมพันธ์วิชา
หลักสูตรสัมพันธ์วิชา (The
Correlated Curriculum) เป็นหลักสูตรรายวิชาที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ
แรกทีเดียวการแก้ไขข้อบกพร่องทำโดยการนำเอาเทคนิคการสอนใหม่ๆ มาใช้ เช่น
ให้ผู้เรียนร่วมในการวางแผนการเรียน และให้ผู้เรียนทำกิจกรรมต่างๆ
นอกเหนือจากการท่องจำ เพื่อให้ผู้เรียนรู้เนื้อหาที่ต้องการ
ทั้งนี้เพื่อแก้ข้อบกพร่องของหลักสูตรที่เน้นเรื่องผู้สอนเป็นผู้สั่งการหรือจุดศูนย์กลางของการเรียนการสอน
แต่การปรับปรุงด้านเทคนิคการสอนไม่ได้ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องที่ว่า
หลักสูตรรายวิชามีขอบเขตแคบเฉพาะวิชา และยังมีลักษณะแบ่งแยกเป็นส่วนย่อยๆ อีกด้วย
สำหรับวิธีการที่ใช้ในการสัมพันธ์วิชา เท่าที่ปฏิบัติกันมามีอยู่ 3
วิธีคือ
1. สัมพันธ์ในข้อเท็จจริง
กล่าวคือใช้ข้อเท็จจริงของวิชาส่วนหนึ่งมาช่วยประกอบการสอนอีกวิชาหนึ่ง
เช่น เมื่อมีการศึกษาประวัติศาสตร์ตอนใดตอนหนึ่งถ้าปรากฏว่ามีวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ตอนนั้นอยู่ด้วย
ก็นำเอาวรรณคดีนั้นมาศึกษาด้วยในขณะเดียวกันเป็นการเพิ่มความเข้าใจแก่ผู้เรียนมากขึ้น
ในทำนองเดียวกันอาจนำเอาข้อเท็จจริงของวิชาภูมิศาสตร์มาสอนให้ทราบถึงสาเหตุของสงคราม หรือแสดงเส้นทางของกองทัพ หรือแสดงลักษณะทางภูมิศาสตร์ของประเทศคู่สงครามก็ได้
2. สัมพันธ์ในหลักเกณฑ์
การสร้างความสัมพันธ์วิธีนี้เป็นการนำเอาหลักเกณฑ์หรือแนวความคิดของวิชาหนึ่งไปใช้อธิบายเรื่องราวหรือแนวความคิดของอีกวิชาหนึ่ง เช่น
สร้างความสัมพันธ์หรือเชื่อมโยงวิชาจิตวิทยากับสังคมวิทยาเข้าด้วยกัน โดยใช้หลักจิตวิทยาอธิบายเหตุการณ์ในสังคมในวิชาประวัติศาสตร์ เป็นต้นว่าใช้กฎการขาดความมั่นคงและการถดถอย (Frustration
and Regression) แสดงให้เห็นว่าการที่ประเทศใดประเทศหนึ่งมีพฤติกรรมก้าวร้าวและใช้อาวุธเข้าทำร้ายประเทศเพื่อนบ้าน
ก็เนื่องจากประชาชนในประเทศถูกกดดันมาเป็นเวลานาน
ในทำนองเดียวกันกฎเกณฑ์ของวิชาวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ ได้แก่ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา
ฯลฯ ก็อาจนำมาเชื่อมโยงกันได้
การนำเอากฎเกณฑ์ของวิชาหนึ่งไปใช้กับอีกวิชาหนึ่ง ดังได้กล่าวมานี้
เป็นผลให้เกิดการหลอมวิชา (Fusion) และเกิดหลักสูตรอีกแบบหนึ่งเรียกว่า
หลักสูตรบูรณาการ (The Integrated Curriculum)
3. สัมพันธ์ในแง่ศีลธรรมและหลักปฏิบัติในสังคม
วิธีนี้คล้ายวิธีที่ 2
แค่แตกต่างกันตรงที่ว่า แทนที่จะใช้หลักเกณฑ์หรือแนวความคิดเป็นตัวเชื่อมโยง
กลับใช้หลักศีลธรรมและหลักปฏิบัติของสังคมเป็นเครื่องอ้างอิง ตัวอย่างเช่น
อาจเชื่อมโยงแนวความคิดของผู้ประพันธ์วรรณคดี
ยุคหนึ่ง เข้ากับระบบการปกครองในยุคนั้นก็ได้
คือใช้วรรณคดีสะท้อนความคิดด้านการปกครอง
ทำให้มองเห็นแนวความคิดได้เด่นชัดยิ่งขึ้น
หลักสูตรสัมพันธ์วิชาที่ปรับปรุงขึ้นมาจากหลักสูตรรายวิชานี้ มีประโยชน์หลายอย่างที่สำคัญคือ
ช่วยให้ผู้เรียนมีความสนใจในสิ่งที่เรียนมากขึ้น ทำให้ผู้เรียนมองเห็นโปรแกรมการเรียนการสอนเป็นส่วนรวมชัดเจนขึ้น
ทำให้กิจกรรมการเรียนการสอนมีมากขึ้นและกว้างขวางกว่าเดิมและเปิดทางให้สามารถขยายงานด้านตำราเรียนได้กว้างขวางขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามข้อบกพร่องที่ยังแก้ไม่ได้ก็คือ
รูปแบบของหลักสูตรยังคงเป็นหลักสูตรรายวิชาอยู่นั่นเอง ในปัจจุบันหลักสูตรสัมพันธ์วิชายังมีใช้
อยู่เพียงในบางประเทศที่ยังคงใช้หลักสูตรรายวิชาเป็นหลัก
8. หลักสูตรเกลียวสว่าน
หลักสูตรเกลียวสว่าน หรือบันไดวน (Spiral
Curriculum) หมายถึง
การจัดเนื้อหาหรือหัวข้อเนื้อหาเดียวกันในทุกระดับชั้น
แต่มีความยากง่ายและความลึกซึ้งแตกต่างกัน กล่าวคือ ในชั้นต้นๆ จะสอนในเรื่องง่ายๆ
ตื้นๆ แล้งค่อยๆ เพิ่มความยากและความลึกลงไปเรื่อยๆ
ตามระดับชั้นที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ มีให้พบเห็นได้ในหลักสูตรทั่วๆ ไป เช่นหลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 ของกระทรวงศึกษาธิการ ในวิชาคณิตศาสตร์กำหนดให้เรียนเรื่อง การคูณ
ทั้งในระดับชั้น ป.1 ป.2 ป.3-4 และ ป.5-6 แต่จะมีความยากและความซับซ้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ในกลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต จะกำหนดให้นักเรียนเรียนเรื่อง พืช ในทุกระดับชั้นจาก ป.1-6 โดยจะมีรายละเอียดมากขึ้น และลึกลงเรื่อยๆ
ที่มาของแนวความคิดเรื่องหลักสูตรเกลียวสว่าน
บรูเนอร์ (Bruner,
1960) เป็นนักการศึกษาท่านหนึ่งที่มีบทบาทมากในการเผยแพร่ความคิดเรื่องหลักสูตรเกลียวสว่าน บรูเนอร์มีความเชื่อว่า
ในเนื้อหาของแต่ละเนื้อหาวิชาจะมีโครงสร้างและการจัดระบบที่แน่นอน
จึงควรนำความจริงในข้อนี้มาใช้กับการจัดหลักสูตร
โดยการจัดลำดับเนื้อหาให้ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ อย่างมีระบบ
จากง่ายไปหายาก
จากแนวความคิดนี้จึงมีการพัฒนาหลักสูตรในลักษณะบันไดวน หรือเกลียวสว่าน คือให้ลึกและกว้างออกไปเรื่อยๆ ตามอายุและพัฒนาการของเด็ก
9. หลักสูตรสูญ
หลักสูตรสูญหรือ Null
Curriculum เป็นความคิดและคำที่บัญญัติขึ้นโดยไอส์เนอร์
(Eisner,1979)แห่งมหาวิทยาลัยแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา หลักสูตรสูญ
เป็นชื่อประเภทของสูตรที่ไม่แพร่หลาย
และไม่เป็นที่รู้จักกันมากนักในระหว่างนักการศึกษา และนักพัฒนาหลักสูตรด้วยกัน
เขาได้นิยามหลักสูตรสูญว่า
เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้มีปรากฏอยู่ให้เห็นในแผนการเรียนรู้
และเป็นสิ่งที่โรงเรียนไม่ได้สอน
เขาได้อธิบายถึงความเชื่อของเขาในเรื่องนี้ว่า
สิ่งที่ไม่ปรากฏอยู่ในตัวหลักสูตรและสิ่งที่ครูไม่ได้ โดยให้เหตุผลว่า
ความรู้หรือการขาดสิ่งที่ควรจากรู้ไม่ได้เป็นแต่เพียงความว่างเปล่าที่หลายคนอาจคิดว่าไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ใด แต่โดยความเป็นจริงแล้ว
การขาดความรู้ดังกล่าวย่อมมีผลกระทบที่สำคัญมาก
ในแง่ที่ทำให้ผู้เรียนขาดทางเลือกที่เขาอาจนำไปใช้แก้ปัญหาและพัฒนาชีวิตของเขาได้
นั้นก็คือ
การขาดความรู้บางอย่างไปอาจทำให้ชีวิตของคนๆ หนึ่งขาดความสมบูรณ์ได้
สรุป(Summary)
“ความคิดเกี่ยวกับ
“ประเภทของหลักสูตร” ที่กล่าวมานี้
จะมีประโยชน์ต่อการประเมินผลและการวิเคราะห์หลักสูตร
เป็นการช่วยในนักพัฒนาหลักสูตรได้หันมาพิจารณาหลักสูตรให้ครบอีกครั้งว่า
จุดหมายและเนื้อหาของหลักสูตรที่กำหนดไว้แล้วนั้นเหมาะสมแล้วหรือยัง มีเนื้อหาใด
กระบวนการคิด และความรู้สึกประเภทใดที่เป็นประโยชน์ และสำคัญควรที่ผู้เรียนรู้
แต่ไม่มีในหลักสูตรก็จะได้ประชุมหารือกันระหว่างนักพัฒนาหลักสูตร และผู้รับผิดชอบ
เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขต่อไป”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น